ประการที่ 1 – รูปทรง
องค์ประกอบนี้จะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่จะดูว่าซุยเซอินั้นมีคุณภาพแค่ไหน วิธีที่จะชื่นชมซุยเซอิก็คือการนั่งห่างซุยเซอิระยะหนึ่งแล้วเพ่งมองพิจารณาทุกส่วนโดยละเอียด หินก้อนใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเราเห็นจะถือว่าหินนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นซุยเซอิ สำหรับวิธีที่จะพิจารณาว่าหินนั้นมีคุณสมบัติที่จะเป็นซุยเซอิหรือไม่ดีดังนี้:
องค์ประกอบนี้จะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่จะดูว่าซุยเซอินั้นมีคุณภาพแค่ไหน วิธีที่จะชื่นชมซุยเซอิก็คือการนั่งห่างซุยเซอิระยะหนึ่งแล้วเพ่งมองพิจารณาทุกส่วนโดยละเอียด หินก้อนใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเราเห็นจะถือว่าหินนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นซุยเซอิ สำหรับวิธีที่จะพิจารณาว่าหินนั้นมีคุณสมบัติที่จะเป็นซุยเซอิหรือไม่ดีดังนี้:
- สามหน้า (sanmen no ho)
วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุดที่จะพิจารณาซุยเซอิ สามหน้า(sanmen) ก็คือด้านหน้า-หลัง, ซ้าย-ขวา และล่าง-บนของหิน ขนาด, ความหนาและรูปทรงของทั้งสามหน้าต้องกลมกลืนกัน สมดุลระหว่างหน้าของหินเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานในการตัดสินว่าหินนั้นเป็นซุยเซอิที่ดีหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หากหินก้อนหนึ่งเหมือนภูเขาในระยะไกล(toyama ishi)โดยหากมองด้านหน้าจะเห็นตีนเขา หากเป็นซุยเซอิที่ดีแล้วหินนั้นก็ควรที่จะมีตีนเขาด้านหลังด้วย ถ้าด้านขวาของภูเขายื่นออกมา ทางด้านซ้ายก็ควรจะมีแนวที่ยื่นออกมาบ้างเล็กน้อย
ฐานของหินเรียบยอดด้านบนก็ควรที่จะเรียวเป็นรูปตัวเอ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเพียงทฤษฏีในทางปฏิบัติจริงๆ จะใช้วิธีนี้เป็นแนวทางพิจารณารูปทรงและความสอดคล้องกลมกลืนของลักษณะในแต่ละด้านของหิน ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซุยเซอิเปรียบเหมือนภาพวาดธรรมชาติของญี่ปุ่น(Sanmen No Ho), ด้านหน้าของหินเป็นด้านที่สำคัญที่สุดเนื่องจากหินมักจะถูกจัดวางไว้ในช่องของผนัง (tokonoma) และเราจะนั่งหรือยืนอยู่ด้านหน้าของหินเพื่อดูซุยเซอิตรงช่องผนังนี้(tokokazari) ญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับต้นไม้หรือหินว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่พูดไม่ได้บางครั้งพวกเขาจะเรียกภูเขาหรือหินแบบเรียกคนธรรมดาเช่น คุณฟูจิ(Fuji-san) หรือ คุณคานนอน( Kannon-san) นักสะสมหินผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "การจะหาบุคคลที่เลอเลิศนั้นยากยิ่ง แต่การจะหาหินที่ยอดเยี่ยมนั้นยากยิ่งกว่า"
เส้นของแนวสันเขาและความลาดเอียงควรจะดูนุ่มนวลกลมกลืนและสายตาของผู้ดูสามารถลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ ตีนเขาควรพุ่งเข้าหาผู้ดู ด้านหลังภูเขาไม่ควรดูคล้ายรอยตัดหรือแตกและไม่ควรโค้งเข้าควรมีตีนเขาพุ่งออกไปด้วยแต่จะไม่เท่ากับด้านหน้า ด้านซ้ายและขวาก็เช่นเดียวกับด้านหน้าและหลัง ยอดเขาควรตั้งอยู่ที่ประมาณหนึ่งในสามจากด้านซ้ายหรือด้านขวาโดยใช้กฎสามส่วนเช่นเดียวกับเทคนิคการถ่ายภาพ ด้านบนและล่างเมื่อมองจากด้านบนหินควรโค้งเล็กน้อยเข้าหาผู้ดูเหมือนกับเทคนิคของบอนไซ ส่วนกลางของหินควรจะลึกกว่าด้านข้าง หินควรมีด้านล่างที่เรียบเป็นธรรมชาติโดยไม่ตัด แต่ยอมให้ตัดส่วนที่ยื่นออกมาบางส่วนออกไปได้หากลำบากที่จะจัดลงในถาด(suiban) หรือแท่นไม้(daiza).
- มวลและรูปทรง
ความหนา: หินอาจจะบาง, เบาและสวยงาม แต่บางก้อนอาจจะดูมีพลังและหนัก หินควรมีฐานที่เรียบ ถ้าเราวางหินในถาดเราจะเห็นได้ทันทีว่าตรงไหนต้องแก้ไข หินเมื่อวางในถาดทุกๆส่วนของฐานต้องสัมผัสกับทราย
ทรายแทนสระน้ำหรือทะเลและนิยมทรายสีครีม ถาดไม่จำเป็นจะต้องบางมากๆแต่ขนาดและรูปทรงควรสัมพันธ์กันกับขนาดและรูปทรงของหิน
ประการที่ 2 – คุณภาพ (shitsu)
สำหรับการที่หินมีคุณภาพเหมาะที่จะเป็นซุยเซอิ หินจะต้องแข็งแกร่งและแน่นพอที่จะไม่เปลี่ยนคุณภาพได้ง่ายๆและไม่แตกหักง่าย มอสจะขึ้นบนหินที่เปราะซึ่งจะดูดซับน้ำไว้ หินภูเขาไฟแตกหักได้ง่ายจึงไม่เหมาะที่จะเป็นซุยเซอิ
สำหรับการที่หินมีคุณภาพเหมาะที่จะเป็นซุยเซอิ หินจะต้องแข็งแกร่งและแน่นพอที่จะไม่เปลี่ยนคุณภาพได้ง่ายๆและไม่แตกหักง่าย มอสจะขึ้นบนหินที่เปราะซึ่งจะดูดซับน้ำไว้ หินภูเขาไฟแตกหักได้ง่ายจึงไม่เหมาะที่จะเป็นซุยเซอิ
ซุยเซอิควรมีความแกร่งพอประมาณที่จะรักษารูปทรงของมันเอาไว้ได้ เมื่อรดน้ำไปบนหินมันจะสามารถคงความเปียกชื้นของน้ำเอาไว้ได้นาน หินดังกล่าวรู้จักกันในโลกของซุยเซอิว่า «mizumochi no ii ishi» คุณลักษณะเหล่านี้จะพบได้ยากจากหินที่เก็บใหม่จากเทือกเขาหรือแม่น้ำ ซึ่งจะเรียกหินใหม่นี้ว่า “araishi” ara มาจากคำว่า atarashii (ใหม่) เพื่อปรับปรุงหินให้มีคุณสมบัติดังกล่าวเราจะนำหินมาตากไว้ในที่โล่งและลดน้ำเป็นระยะๆ ในการเตรียมหินสำหรับการจัดวางในถาดมักจะจัดวางหินบนชั้นของบอนไซหรือในพื้นที่ๆมีแดดในสวนและรดน้ำทุกๆวัน (ในยุโรปนิยมใช้น้ำกลั่นเพื่อป้องกันคราบที่จะมากับน้ำ) ตำแหน่งของหินควรเปลี่ยนเดือนละครั้ง แต่สำหรับหินที่จะจัดวางบนแท่นไม้หินพวกนี้จะมีผิวที่งดงามอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีดังกล่าว ในกรณีนี้หินจะรักษาไว้ในร่มและขัดถูด้วยผ้าฝ้ายแห้งประจำ ขบวนการเหล่านี้เรียกว่า “โยเซกิ”(Yoseki) ช่วงระยะการทำให้หินมีคุณภาพที่ดีขึ้นนี้นั้นเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับซุยเซอิ
ภาพแสดงหินที่วางไว้บนชั้นไม้ขณะทำขบวนการ “โยเซกิ” เพื่อลอกผิวหน้าทำให้ลวดลายบนหินเห็นชัดเจน
ประการที่ 3 – สี (iro)
สีจะต้องไม่ทำให้รู้สึกแปลกและไม่เป็นธรรมชาติ สีของหินจะต้องสื่อให้จินตนาการรู้สึกได้ถึงทิวทัศน์ในธรรมชาติ ในโลกของซุยเซอิความสง่างามและความสงบของจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ สีเข้มจะเป็นสีที่นิยม
สีจะต้องไม่ทำให้รู้สึกแปลกและไม่เป็นธรรมชาติ สีของหินจะต้องสื่อให้จินตนาการรู้สึกได้ถึงทิวทัศน์ในธรรมชาติ ในโลกของซุยเซอิความสง่างามและความสงบของจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ สีเข้มจะเป็นสีที่นิยม
หินสีดำจะให้ความรู้สึกถึงรสนิยมที่ละเอียดอ่อนและจะเป็นเงาแวววาวเมื่อถูกสัมผัสกับน้ำ หินนี้จะถือว่าเป็นหินในอุดมคติ หินสีดำจากคาโมกาวาถือว่าเป็นหินที่มีคุณสมบัติในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็นิยมชมชอบหินคูรามาซึ่งมีสีน้ำตาลเข้มซึ่งคล้ายกับสีสนิมเหล็ก
หินสีดำนี้ซึ่งเรียกว่า “บอนเซกิ”(bonseki) นักชงชามักจะใช้ในพิธี “chanoyu” ส่วนหินที่มีสีแปลกๆมักจะไม่ค่อยพบเห็นในญี่ปุ่น
นอกจากนั้นสียังเป็นสัญญาลักษณ์ของฤดูกาล เช่น สีน้ำตาลเข้มสนิมเหล็ก Kurama-ishi แทนปลายฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ร่วงเมื่อใบของต้นเมเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีแดง ยังมีหินสีแดงม่วงเข้มจากแม่น้ำคาโมที่เป็นที่นิยมของนักสะสมทั่วโลกซึ่งรู้จักกันในชื่อ kamogawa-beni-nagashi-ishi ซึ่งสีแดงม่วงเข้มนี้เล่ากันว่าเป็นสีที่หญิงสาวในวังใช้แต่งหน้าในสมัยราชวงศ์ Heian
นอกจากนั้นสียังเป็นสัญญาลักษณ์ของฤดูกาล เช่น สีน้ำตาลเข้มสนิมเหล็ก Kurama-ishi แทนปลายฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ร่วงเมื่อใบของต้นเมเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีแดง ยังมีหินสีแดงม่วงเข้มจากแม่น้ำคาโมที่เป็นที่นิยมของนักสะสมทั่วโลกซึ่งรู้จักกันในชื่อ kamogawa-beni-nagashi-ishi ซึ่งสีแดงม่วงเข้มนี้เล่ากันว่าเป็นสีที่หญิงสาวในวังใช้แต่งหน้าในสมัยราชวงศ์ Heian
ประการที่ 4 - เนื้อพื้นผิว (hada-ai)
หินในธรรมชาติจะถูกล้างโดยกระแสน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสร้างให้เกิดเนื้อที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นผิวในโลกของซุยเซอิเรียกว่า “hada-ai” ความแข็งของหินก้อนเดียวกันจะมีความแข็งที่ไม่เท่ากันส่วนที่ทนการกัดกร่อนได้เรียกว่า “hame” ส่วนที่อ่อนกว่าจะถูกกัดกร่อนโดยคลื่นลมและน้ำเรียกส่วนนี้ว่า “hadame”
หินในธรรมชาติจะถูกล้างโดยกระแสน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสร้างให้เกิดเนื้อที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นผิวในโลกของซุยเซอิเรียกว่า “hada-ai” ความแข็งของหินก้อนเดียวกันจะมีความแข็งที่ไม่เท่ากันส่วนที่ทนการกัดกร่อนได้เรียกว่า “hame” ส่วนที่อ่อนกว่าจะถูกกัดกร่อนโดยคลื่นลมและน้ำเรียกส่วนนี้ว่า “hadame”
พื้นผิวไม่จำเป็นต้องเรียบ มีหินที่พื้นผิวขรุขระ มีคำเฉพาะที่ใช้เรียกลักษณะพื้นผิว ตัวอย่างเช่น “jagure” เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงพื้นผิวที่ขรุขระและเป็นปุ่มยื่นออกมา “Sudachi” หมายถึงพื้นผิวที่มีรูหลายรูขนาดประมาณ 1-2 mm Rice grain (beiten-moyo) หมายถึงพื้นผิวที่มีปุ่มเล็กๆขนาดและรูปทรงเหมือนเมล็ดข้าวเปลือก ยื่นออกมา “shun” หมายถึงพื้นผิวที่เป็นจีบซึ่งมักจะพบในหินฟูรูยา (Furuya stones) และ “shiwa” หมายถึงพื้นผิวที่เป็นจีบที่ละเอียดซับซ้อนเหมือนรอยย่น พื้นผิวที่มีผลึกควอทบนหินทรายสีน้ำตาลสร้างเส้นในแนวนอนหรือแนวตั้งเรียกว่าเส้น “itokake” หรือ “itomaki” Richi-hada หมายถึงจุดที่มีมากมายบนพื้นผิวเช่นเดียวกับผิวของลูกแพร์ ดวงตามังกร “ryugan” หมายถึงจุดของควอทหรือหินปูนบนหินมักจะพบในส่วนของหินน้ำตก
ผิวหน้าของหิน
ในญี่ปุ่นมักมีคำกล่าวที่ว่ากระแสน้ำในแม่น้ำสร้างผิวหน้าของหินที่ดีที่สุด หินดังกล่าวเรียกว่า “sawa ishi” มีบางที่ริมชายหาดซึ่งจะพบหินที่ดีซึ่งเรียกว่า “kobi ishi” Sawa- shi และ kobi ishi จะมีผิวที่เรียบกว่าและน่าสนใจกว่าหินที่พบตามภูเขา ในญี่ปุ่นมีแหล่งตามภูเขาไม่มากนักที่จะพบหินคุณภาพดีๆ เช่น Furuya-ishi และ Seigaku-ishi หินที่พบตามภูเขาเรียกว่า “yama ishi” หินที่พบตามถ้ำเรียกว่า “do ishi”
ประการที่ 5 – อายุ (jidai)
คำนี้กล่าวถึงการรวมกันของธรรมชาติและพื้นผิว ซึ่งผลของอายุจะปรากฏให้เห็นดังเช่น “yoseki”ที่กล่าวมาข้างต้น
หินจะมีคุณสมบัติของรูปทรง, คุณภาพ และพื้นผิวสมบูรณ์เมื่อได้อายุ “jidai” แต่สิ่งนี้ต้องการๆดูแลเอาใจใส่ที่จะสร้างคุณภาพของหินออกมา มีการพูดกันว่ามันจะกินเวลาอย่างน้อย 10 ปีในการที่จะทำให้คุณภาพที่แท้จริงของซุยเซอิปรากฏออกมาจากหินก่อนใหม่ จริงๆแล้วขึ้นกับลักษณะของหิน ซึ่งบางกรณีอาจกินเวลาถึง 20 ปีที่จะทำให้เห็นอายุและสีดั้งเดิมของหิน “jidai” หรือสีเดิมของหิน “ko-shoku” มีคำพูดๆไว้ว่า: ยิ่งหินแข็งมากเท่าใดระยะเวลาที่จะสร้างคุณภาพให้แก่หินก็ยาวนานยิ่งขึ้นเท่านั้น To be resumed. หินใหม่ที่มีรูปทรง, คุณภาพ, สี และพื้นผิวที่ดียังไม่เรียกว่า ซุยเซอิ แต่เรียกว่า หินใหม่ “araishi” เมื่อเราเอาหินเก่าวางในถาดมันจะให้ความรู้สึกถึงอายุของหินที่เราจะไม่เห็นสิ่งนี้จากหินใหม่
ความเพลิดเพลินกับซุยเซอิ
ซุยเซอิไม่มีอะไรนอกจากหินชิ้นหนึ่งเท่านั้นสำหรับคนทั่วไป เราไม่สามารถคาดหวังความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับทุกคนอย่างฉับพลันที่จะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวจากหินและสามารถปล่อยให้วิญญาณล่องลอยอยู่ในโลกของซุยเซอิได้ อย่างไรก็ตามความสนใจซุยเซอิจะเกิดขึ้นกับเราได้หากมีบางสิ่งบางอย่างในซุยเซอิดึงดูดเราเมื่อเราเห็นมัน นั่นมันเป็นจุดเริ่มต้นที่เพียงพอสำหรับการเริ่มพัฒนาความสนใจในซุยเซอิได้ ความสนใจในซุยเซอิเกี่ยวข้องกับการพัฒนาจิตวิญญาณในด้านสัมผัสของธรรมชาติของแต่ละคน
ซุยเซอิไม่มีอะไรนอกจากหินชิ้นหนึ่งเท่านั้นสำหรับคนทั่วไป เราไม่สามารถคาดหวังความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับทุกคนอย่างฉับพลันที่จะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวจากหินและสามารถปล่อยให้วิญญาณล่องลอยอยู่ในโลกของซุยเซอิได้ อย่างไรก็ตามความสนใจซุยเซอิจะเกิดขึ้นกับเราได้หากมีบางสิ่งบางอย่างในซุยเซอิดึงดูดเราเมื่อเราเห็นมัน นั่นมันเป็นจุดเริ่มต้นที่เพียงพอสำหรับการเริ่มพัฒนาความสนใจในซุยเซอิได้ ความสนใจในซุยเซอิเกี่ยวข้องกับการพัฒนาจิตวิญญาณในด้านสัมผัสของธรรมชาติของแต่ละคน
เมื่อใครก็ตามที่ดูซุยเซอิแล้วสามารถบอกได้ว่าคนเราคิดถึงอะไรและเขาได้เข้าไปสู่โลกของอะไร เราสามารถรู้สึกได้ถึงสิ่งกระตุ้น ไม่ใช่กล่าวถึงความงามที่มองเห็นหรือไม่สามารถรับรู้ได้ คนที่มีรสนิยมเหมือนๆกันจะรู้สึกพอใจและเข้าไปมีอารมณ์ร่วมในการดูsuiseki kazari นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงมีการพูดว่าการสนใจต่อซุยเซอิทำให้วิญญาณของคนเราได้เพิ่มการพักผ่อนอย่างลึกล้ำ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น