วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วัฒนธรรมการเก็บสะสมหินของชาวจีนเพื่อใช้ในพิธีทางศาสนาหรือเพื่อความสวยงามมีมาช้านานแล้ว  สามารถย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น  (206 ก่อนคริสศักราช-คศ 220) เมื่อจักรพรรดิพระองค์หนึ่งทรงดำริให้นำหินมาเพื่อใช้ตกแต่งสวนภายในพระราชวัง  มีหลักฐานของศิลปะการใช้หินประดับสวนและศิลปะหินอิสระปรากฏอยู่ในโครงกลอนโบราณย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (คศ.618-907)  ชาวจีนจะเรียกหินอิสระขนาดเล็กนี้ว่า กองชิ (Gongshi) แต่ชาวตะวันตกจะเรียกว่า Scholars' Rocks  ซึ่งหมายถึงหินของนักปราชญ์เนื่องจากหินนี้เป็นที่นิยมในหมู่ของผู้มีความรู้ชาวจีนในสมัยโบราณตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง (คศ.960-1270)  พัฒนาเรื่อยมาจากความนิยมหินตกแต่งสวนขนาดใหญ่มาจนถึงการนิยมหินขนาดเล็กพอที่จะนำเข้ามาประดับไว้ภายในอาคารได้ 


กองชิ(Gongshi) หรือ Scholar Rocks เริ่มจากหินที่คล้ายหรือสื่อถึงภูเขาในนิยายหรือภูเขาที่มีชื่อเสียง  หรือแม้แต่จะสื่อถึงแนวเทือกเขาในประเทศจีน  หินบางก้อนมีรูปแบบที่สวยงามมีสีที่แปลกตาหรือสื่อให้เกิดจินตนาการกับผู้ดู   กองชิพัฒนามาจากหินตกแต่งสวนซึ่งจะมีขนาดใหญ่มากอาจสูงได้ถึง  5 หรือ 6 ฟุต   กวีและพระในลัทธิเต๋าชาวจีนต้องการนำภูเขาเหล่านี้เข้ามาภายในที่พำนักเพื่อใช้ในการทำสมาธิและเพื่อกระตุ้นให้เกิดจินตนาการในการเขียนบทกลอนหรือเขียนภาพ   ดังนั้นหินก้อนเล็กๆที่มีรูปทรงคล้ายเทือกเขาจึงถูกนำมาสะสมและมอบให้แก่กันเหมือนของขวัญที่มีค่า  หินเหล่านี้เป็นที่นิยมของกวีและนักสะสมชาวจีนมากว่า 1,000 ปี


Gongshi เป็นชื่อที่เรียกหินที่มีลักษณะที่จะกระตุ้นให้ผู้ดูเกิดจินตนาการ  คำว่า gong หมายถึง วิญญาณ  และคำว่า shi หมายถึง หิน  ถึงแม้ว่าความหมายตรงตัวของหินพวกนี้จะเป็น 'Spirit Stones'  แต่ชาวตะวันตกนิยมเรียกหินนี้ว่า  'Scholar's Rocks' มากกว่า  ชาวจีนมีการจัดแบ่งหินในแบบฉบับของตนเองด้วยเหมือนกัน  โดยเฉพาะแบ่งตามถิ่นกำเนิดหรือตามคุณภาพของหิน  การจัดหินในสวนมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นและมักจะแทนสรวงสวรรค์ที่เรียกว่า Penglai หรือเกาะแห่งความเป็นอมตะทิศตะวันออก  สวรรค์เหล่านี้ประกอบไปด้วยภูเขาสามลูกหรือมากกว่านั้นอยู่ในทะเลตะวันออกอันไกลโพ้น   เทือกเขาสูงชันที่อยู่ห่างไกลและไม่มีใครเข้าถึงได้   ในภาพเขียนจีนเทพเจ้าเหล่านี้มักจะแปลงร่างเป็นนกกระเรียนบินไปมาระหว่างภูเขาสูงเหล่านี้    เกาะทั้งสามมีชื่อว่า  Fanghu, Yingzhou, และ Penglai  แต่มักจะเรียกรวมกันว่า Penglai  เป็นดินแดนแห่งเวทมนต์ซึ่งเทพเจ้าประทับอยู่  ที่นี่ทุกสิ่งทุกอย่างน่าอัศจรรย์และเป็นที่ๆมนุษย์ไปไม่ถึง   สวรรค์เหล่านี้มีอยู่ในลัทธิเต๋า  เป็นยอดเขาที่ลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆหรือเป็นถ้ำที่ซับซ้อนที่เทพเจ้าประทับอยู่    สวนที่กล่าวมานี้ออกแบบและสร้างโดยจักรพรรดิ์วูได ในราชวงศ์ฮั่น ( 140-87 B.C.) ซึ่งประกอบไปด้วยสระน้ำใหญ่มีเกาะสี่เกาะ - Penglai, Fangzhand, Yingzhou, และ Huliang – โผล่ขึ้นมาตรงกลางสระน้ำ   จักรพรรดิองค์ต่อๆมาก็มีการสร้างสวนเช่นเดียวกันนี้อีกหลายสวน   ปัจจุบันหินถูกจัดเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มเพื่อแทนแนวเขา  หินก้อนเดี่ยวๆที่ใช้จะมีคุณภาพสูงหรือแทนภูเขาที่เด่นในสวน  หินที่ใช้จะมีสีขาวหรือสีเทา และอาจสูงถึง 20 ฟุตเลยทีเดียว    นักสะสมจำนวนมากนิยมสะสมหินคุณภาพจากทะเลสาบ Jiangsu จังหวัด Taihu.  หินขนาดใหญ่เหล่านี้จะมีรู, ผิวที่ขรุขระและมีรูปทรงแปลกๆและหินเหล่านี้บางส่วนก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้  


กองชิลักษณะคล้ายหญิงชาวจีนมีผมสีน้ำตาลที่ผู้เชี่ยวชาญประเมิณมูลค่าหินก้อนนี้
อยู่ที่ 12 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 96 ล้านหยวน

การจัดวางหินในรูปแบบของจีนมักจะจัดวางในแนวตั้งเนื่องจากนิยมสื่อถึงภูเขาในนิยายหรือภูเขาที่มีชื่อเสียงของจีน  รูป   แบบ taihu หรือ lingbi ไม่จำเป็นต้องมีฐานเรียบเนื่องจากหินเหล่านี้จะถูกจัดวางไว้บนแท่นที่ลึกกว่าแท่นของซุยเซอิ  โดยแท่นจะออกแบบให้สามารถวางหินไว้ในแนวตั้งได้โดยไม่ล้ม  หินของจีนในรูปแบบที่เป็นอุดมคติแล้วจะมีสามมิติ; มีรอยเว้าโค้งและรูทุกด้าน  หากด้านใดด้านหนึ่งเรียบและไม่มีรูหินนั้นจะถือว่าเป็นหินสองมิติ  แต่มันก็ยังคงมีคุณค่าและราคาอยู่แต่จะไมมีคุณค่าเท่ากับหินที่ดูมีสมดุลและสวยงามในทุกมุมมอง

กองชิขนาดจะเล็กกว่าหินที่ใช้ประดับสวนและจะถูกคัดอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้หินที่มีคุณภาพ  หินจะมีขนาดเล็กตั้งแต่หนึ่งนิ้วถึงห้าหกฟุต  อย่างไรก็ตามขนาดปรกติจะเป็นขนาดที่สามารถจัดวางบนโต๊ะได้    หินบางส่วนถูกดัดแปลงไปเป็นของใช้เช่น ที่วางแปรง, กรรไกร หรือตราประทับ  แต่ส่วนใหญ่ยังคงใช้เพื่องานสร้างสรรค์ทางศิลปะ  กองชิปรกติจะถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ  หรือชั้นสำหรับจัดวาง    หินจะถูกวางไว้บนแท่นไม้ที่ทำอย่างประณีต  และแท่นไม้เองก็เป็นงานศิลปะเช่นกัน 
ถึงแม้ว่าศิลปะของกองชิจะมีในประเทศจีนมากว่า 1,000 ปีแล้วก็ตาม  แต่เพิ่งจะแพร่หลายมาสู่โลกภายนอกในเวลา 20 กว่าปีมานี้นี่เอง 
ถึงแม้ว่าจะนิยมหินสีดำที่สุดก็ตาม แต่ความนิยมสีอื่นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ระหว่างช่วงราชวงศ์หมิงและชิง (1368-1911) หินสีสดใสเป็นที่นิยมอย่างมาก เช่น หินอ่อน, มรกต, หินควอทสีเหลือง ฯ  สำหรับศิลปินชาวจีนแล้วหินเหล่านี้เป็นหลายสิ่งหลายอย่าง  หินเหล่านี้ใช้เป็นจุดเพ่งในการทำสมาธิหรือคิดค้นหลักปรัชญาและใช้กระตุ้นจินตนาการในการเขียนโคลงกลอนหรือวาดภาพ  ถึงแม้ว่าหินส่วนใหญ่จะสื่อถึงเทือกเขาต่างๆและสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติรอบตัวเรา    หินหลายก้อนสื่อถึงคน, สัตว์และสัตว์ในนวนิยาย   สิ่งสำคัญที่สุดของกองชิก็คือรูปทรง, รู, รูพรุน, อายุ และสมดุลของหินจะต้องถูกทำโดยแรงจากธรรมชาติเท่านั้น  อย่างไรก็ตามมีความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหินเหล่านี้จำนวนมากที่ถูกเสริมแต่งทำขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์  หินจำนวนมากถูกเจาะ, เจียรและขัดเพื่อเพิ่มความงามให้แก่หินเหล่านั้น   แต่งานของช่างฝีมือเหล่านี้ก็ยังไม่เป็นที่นิยมของนักสะสมเท่ากับหินที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ  

   



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Subscribe to RSS Feed Follow me on Twitter!