การสะสมหินเป็นงานอดิเรก
การเก็บสะสมหินเพื่อไว้ชื่นชมของมนุษย์เรานั้นมีมาช้านานแล้ว ถึงแม้ว่าหินได้ถูกเรียกชื่อต่างๆและมีกฎเกณฑ์ต่างแตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ที่ญี่ปุ่นหินที่เก็บสะสมไว้ชื่นชมจะเรียกว่า “ซุยเซอิ”
ในประเทศจีนเรียกว่า “กองชิ” ในประเทศเกาหลีเรียกว่า “suseok” ไม่ว่าจะหินเหล่านี้จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปอย่างไรหรือจะเรียกชื่อที่แตกต่างกันอย่างไร
แต่ต่างก็ยังคงอยู่ในกลุ่มของประเภทหินสะสม “viewing stone”
งานอดิเรกการสะสมหินจะสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดและรสนิยมของผู้นั้น คนที่สะสมและชื่นชม viewing stones จะเป็นคนที่นิยมชมชอบเผินจิ่งหรือบอนไซเป็นทุนอยู่แล้ว
งานอดิเรกทั้งสองนี้มักจะเป็นสิ่งคู่กันเสมอ
หากเราชื่นชอบเผินจิ่งเราก็มักจะชื่นชอบกองชิที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการและแปลกตระการตา แต่หากเราชื่นชอบบอนไซเราก็มักจะชื่นชอบซุยเซอิที่ให้ความรู้สึกสงบแต่ดูมีพลังลึกลับซ้อนเร้นอยู่
หิน viewing stones ให้อะไรกับเรา
เมื่อเริ่มสะสมเรามักจะมุ่งไปที่หินก้อนใหญ่สวยงาม มีสีสัน
รูปทรงที่เร้าใจไม่สนใจว่าจะโดยธรรมชาติหรือมนุษย์แต่งเติมขึ้น แต่เมื่อเรียนรู้มาถึงจุดๆหนึ่งเราจะเริ่มพัฒนาความรู้สึกไปสู่ธรรมชาติสู่ความเรียบง่าย,
สงบและสมถะ หินเป็นงานศิลปะที่สร้างโดยธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งรูปทรง, ความสมดุล, สีสันและลวดลายของผิว
ความงดงามของหินถูกกำหนดโดยคนเราจากพลังที่เร้นลับที่สามารถนำจิตใจของเราเข้าสู่จินตนาการของทัศนียภาพจากประสบการณ์ต่างๆที่เคยพบเห็นมา
เช่นภาพเทือกเขา, น้ำตก, เกาะ, สัตว์หรือกระท่อม
พลังนี้นำเราให้ย้อนกลับไปสู่ภาพเก่าๆในประสบการณ์ชีวิตของเรา
หินแต่ละก้อนไม่ใช่แค่บอกเล่าเรื่องราวของมันเองเท่านั้นมันยังกระตุ้นจินตนาการที่มีอยู่ในจิตใจของผู้ดูอีกด้วยเป็นจินตนาการที่ไม่รู้จบ
แต่ละครั้งที่เรามองหินก้อนเดิมที่เราเคยมองจินตนาการความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งจะไม่ซ้ำกันเลย แต่หินที่ดีที่สามารถกระตุ้นจินตนาการของเราได้นั้นหายากมากแต่หากเราได้มันมาเป็นเจ้าของสักก้อนมันจะให้ความรู้สึกอิ่มเอิบใจแก่ผู้ที่ได้เป็นเจ้าของ คนที่ชื่นชอบการสะสมหินนั้นมักจะเป็นคนที่นิยมใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติไม่ว่าจะทำสวน,
ปีนเขา, ตกปลา ฯ
เมื่อถึงจุดๆหนึ่งหินจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราในทุกๆเช้าเมื่อเราตื่นขึ้นมาหรือทุกเมื่อมีเวลาว่างเราได้ดูพินิจวิเคราะห์หินเหล่านี้เหมือนได้เติมพลังในชีวิตเพิ่มขึ้น
จิตใจเราจะสงบขึ้นมาทันทีเข้าสู่ภวังค์อันเร้นลับ จิตใจเราจะสงบเพลิดเพลิน และมีสมาธิในขณะนั้น หินมีพลังในการสร้างจินตนาการที่ไม่รู้จบ เราจะมองมันได้ไม่รู้เบื่อ
หินอย่างไรจึงจะเรียกว่า “ซุยเซอิ”
ซุยเซอิก็คือการเรียนรู้และเพลิดเพลินกับความงามในรูปทรงต่างๆของหินตามธรรมชาติ ซุยเซอิเป็นรูปแบบศิลปะที่ละเอียดอ่อนซับซ้อนที่สืบต่อกันมาช้านานของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงความรู้สึก,
จินตนาการและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างวัตถุและผู้ดู ซุยเซอิเป็นหินที่สื่อถึงเทือกเขา,
ทะเลสาบ, น้ำตก และทิวทัศน์ธรรมชาติอื่นๆ ซุยเซอิแทนธรรมชาติให้มาอยู่ในอุ้งมือของเรา ซุยเซอิเป็นความเช้าใจและชื่นชมธรรมชาติผ่านทางหินไม่ว่าเราจะได้หินซุยเซอิมาอย่างไร
จะเก็บมาหรือซื้อมาก็ตามเราต้องพยายามคงสภาพตามธรรมชาติเดิมของมันไว้ ตั้งแต่ขบวนการขัดผิวด้วยขบวนการโยเซกิ ฐานรองหินที่เรียกว่าไดซาทำมาจากไม้เนื้อแข็ง
ตลอดจนถึงการจัดโชว์ตามแบบฉบับที่ควรจะเป็นของมัน
หินสะสมส่วนหนึ่งของนักสะสมชาวเวียดนาม
|
หินสะสมของมาเลเซียที่เข้าประกวดในงานประกวดหินของมาเลเซียปี 2012
|
การเลือกซื้อหิน
ก่อนที่เราคิดจะเลือกซื้อหินสักก้อนหนึ่งในฐานะนักสะสมไม่ใช่ฐานะนักท่องเที่ยวที่ซื้อมาแค่ของที่ระลึกหรือเพื่อใช้ตกแต่งบ้านตกแต่งบ้านเท่านั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือการศึกษาเรียนรู้คุณสมบัติต่างๆของหิน
viewing stone โดยละเอียด มิฉะนั้นแล้วเราจะโดนหลอกจากผู้ขายได้โดยง่าย
ปัจจุบันหินของจีนซึ่งนับว่าเป็นแหล่งหินที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีการซื้อขายกันเป็นเงินหลายพันล้านบาทในแต่ละปี
สิ่งนี้ดึงดูดให้มีธุรกิจการนำก้อนหินธรรมดามาตัดแต่งเจาะรูให้ดูมีรูปทรงเหมือนหินที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติกันอย่างมากมาย มีการประมาณกันว่ากว่าร้อยละ 80
ของหินที่ซื้อขายกันในจีนสร้างมาจากฝีมือมนุษย์
แม้แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเองก็ยังมีหินที่ตัดแต่งขัดเจียรและพ่นทรายสร้างเลียนแบบหินจากธรรมชาติเพื่อการค้าโดยเฉพาะหิน
Hut stone ที่เป็นที่นิยมของนักสะสม
(ดูรายละเอียด “หินเลียนแบบหินจากธรรมชาติ” การสะสมหินซุยเซอิ ตอนที่ 19/20)
หินเกรดพรีเมี่ยมเป็นที่ต้องการของนักสะสมและนักลงทุนอย่างมาก
บางก้อนมีราคาสูงกว่าทองคำที่น้ำหนักเท่าๆกัน
มูลค่าของหินประเภทนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
เนื่องจากการมีอย่างจำกัดและไม่สามารถที่จะหามาทดแทนได้ใหม่